วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อายาเซะงาวะ ยูมิจิกะ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ตัวละคร เทพมรณะ
Shinyyumichika.jpg
อายาเซะงาวะ ยูมิจิกะ
อาชีพ ยมทูต นักสู้ลำดับ 5
แห่งหน่วยที่ 11
วันเกิด 19 กันยายน
สีผม สีม่วง
สีตา สีเหลือง
ส่วนสูง 169 เซนติเมตร
น้ำหนัก 56 กิโลกรัม
ดาบฟันวิญญาณ ฟูจิ คุจากุ
พากย์เสียงโดย จุน ฟุคุยามะ
อายาเซะงาวะ ยูมิจิกะ (ญี่ปุ่น: 綾瀬川 弓親 Ayasegawa Yumichika ?) ตัวการ์ตูนจากเรื่องเทพมรณะ เป็นยมทูตนักสู้ลำดับที่ 5 ในหน่วยที่ 11 แห่ง 13 หน่วยพิทักษ์

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] ลักษณะ/อุปนิสัย

ยูมิจิกะ เป็นชายผู้มีผมบ๊อบสีม่วง มีจงอยขนสีแดงที่คิ้วและสีเหลืองที่ขนตา เป็นคนรักสวยรักงาม หลงตัวเอง และมักจะทำเป็นไม่รู้จักคนที่หน้าตาแย่กว่าตัวเอง

[แก้] ประวัติ

ยูมิจิกะเป็นเพื่อนสนิทของอิกคาคุ ทั้งคู่ได้เข้ามาเป็นยมทูตหน่วยที่ 11 แห่ง 13 หน่วยพิทักษ์ ยูมิจิกะเป็นนักสู้ลำดับที่ 5 โดยบอกว่าเลข 4 ไม่สวย ส่วนเลข 3 ก็เป็นของอิกคาคุไปแล้วจึงเลือกเลข 5 แทน โดยยูมิจิกะได้ปกปิดความสามารถตัวเอง ซึ่งดาบฟันวิญญาณของยูมิจิกะเป็นสายวิถีมารซึ่งขัดกับวิถีการต่อสู้ของหน่วย ที่ 11

[แก้] บทบาท

[แก้] ภาคโซลโซไซตี้

ยูมิจิกะและอิกคาคุได้พบกับอิจิโกะและกันจู โดยยูมิจิกะได้สู้กับกันจู แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับดอกไม้ไฟของกันจูจนทำให้หัวฟู ต่อมาเขากับพวกหัวหน้าซาราคิได้พาโอริฮิเมะตามหาอิจิโกะ แต่ถูกหัวหน้าโคมามูระและหัวหน้าโทเซ็นขัดขวาง โดยยูมิจิกะได้ต่อสู้กับรองหัวหน้าฮิซากิ แต่แล้วรองหัวหน้าฮิซากิกลับพลาดท่าให้กับยูมิจิกะจนหมดแรงต่อสู้

[แก้] ภาคเบาท์

ยูมิจิกะได้รับคำสั่งให้มาช่วยพวกอิจิโกะต่อสู้ดับเบาท์ที่โลกมนุษย์ โดยยูมิจิกะได้สืบหาที่อยู่ของเบาท์จนพบ จึงได้ลักลอบเข้าไป แต่เขาก็ถูกพวกเบาท์เล่นงานจนบาดเจ็บ แต่โชคดีที่พวกอิจิโกะเข้ามาช่วยไว้ทัน แต่พวกเบาท์ก็หนีไปยังโซลโซไซตี้ได้ในที่สุด

[แก้] ภาคอารันคาร์

ยูมิจิกะ ได้มาที่โลกมนุษย์เพื่อเตรียมศึกต่อสู้กับอารันคาร์ โดยเขาได้พักอยู่ที่ห้องของอาซาโนะ เคย์โกะ เพื่อนของอิจิโกะที่สามารถมองเห็นวิญญาณได้ และเขาเองคอยติดต่อกับโซลโซไซตี้ระหว่างที่อิกคาคุกำลังต่อสู้ ต่อมาเขาและรองหัวหน้ามัตสึโมโตะได้ฝึกฝนการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยสวัสดิกะ แต่ก็มีอารันคาร์บุกเข้ามา นำโดยเอสปาด้าหมายเลข 6 คนใหม่ "ลูปี"

[แก้] ภาคไอเซ็นบุกโลกมนุษย์

ยูมิจิกะได้รับหน้าให้ปกป้องเสาทั้ง4ที่ล้อมเมืองคาราคุระไว้ และได้ต่อสู้กับคูลฮอร์นคนสนิทของบารันการ์และได้รับชัยชนะมา

[แก้] ดาบฟันวิญญาณ

ฟูจิ คุจากุ

[แก้] ขั้นต้น (ชิไค)

  • ชื่อ(ปลอม) : ฟูจิ คุจากุ (ญี่ปุ่น: 藤孔雀 Wisteria Peacock, นกยูงบุปผาม่วง ?)
  • ชื่อที่แท้จริง : รูริอิโระ คุจากุ(ญี่ปุ่น: 瑠璃色孔雀 นกยูงบุศราคัม/นกยูงสีไพฑูรย์ ?)
  • คำปลดปล่อยดาบ(ตอนใช้ชื่อ "ฟูจิ คุจากุ") : จงเบ่งบาน
  • คำปลดปล่อยดาบ(ตอนใช้ชื่อ "รูริอิโระ คุจากุ") : จงฉีกกระชากคลุ้มคลั่ง
  • ลักษณะ : ดาบจะกลายสภาพคล้ายเคียวเกี่ยวข้าว โดยแบ่งเป็น 4 แฉก
  • ลักษณะ(ที่แท้จริง) :ดาบจะสลายเป็นหางนกยูงซึ่งมีดอกฟุจิงอกออกมาตลอดทั่วทั้งหาง และจะผลิบานเมื่อได้รับพลังวิญญาณ
  • ความสามารถ :ปล่อยเป็นหางนกยูงรัดตัวศัตรูแล้วดูดพลังวิญญาณ โดยจะมีสัญญาณแสดงเป็นดอกฟุจิซึ่งจะงอกออกมาจากส่วนหางนกยูง ซึ่งเมื่อตัวดอกบานออกเมื่อไหร่ก็หมายถึงการสิ้นชีพของคู่ต่อสู้

[แก้] ขั้นปลดปล่อยสวัสดิกะ (บังไค)

ไม่มี

[แก้] เกร็ดความรู้

  • เหตุที่ดาบฟันวิญญาณของยูมิจิกะมี 2 ชื่อนั้นเพราะว่า ยูมิจิกะ อยู่หน่วยที่ 11 ซึ่งเป็นหน่วยที่มีแต่พวกที่มีดาบฟันวิญญาณสายพลัง แต่ของยูมิจิกะนั้นเป็นสายวิถีมาร ซึ่งสำหรับหน่วยที่ 11 นั้น นับว่าเหมือนสายขี้ขลาด เขาจึงยัดเยียดชื่อ "ฟูจิ คุจากุ" ให้ดาบฟันวิญญาณของเขา ทำให้ปลดปล่อยดาบออกมาได้ในลักษณะครึ่งๆๆกลางๆๆ เนื่องจากดาบไม่ชอบชื่อนี้ สาเหตุตอนที่เขาปลดปล่อยดาบตอนสู้กับคูลฮอร์นนั้นเป็นเพราะว่าถ้าไม้ตายของ คูลฮอร์นนั้นทำให้ไม่เห็นทั้งสองขณะต่อสู้ ถ้าคูลฮอร์นมีถ้าไม้ตายที่มองเห็นทั้งหมด ต่อให้ตายยูมิจิกะก็ไม่ปลดปล่อยดาบที่แท้จริงออกมา
สิ่งที่แตกต่าง
การกระทำ

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การนอนง่าย

มีวิธีการนอนดีๆมาฝากกัน

      วิธีที่ 1

             
อาการ นอนไม่หลับ โดยทั่วๆไปจะหมายถึง การที่นอนหลับยาก หลับ ๆ ตื่น ๆ หรือตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วหลับต่อไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้รู้สึกเพลีย หลับได้ไม่เต็มอิ่มในเช้าวันรุ่งขึ้น การพยายามเข้าใจถึงสาเหตุของการนอนไม่หลับ จะช่วยทำให้เรามองเห็นภาพของกลุ่มอาการนี้ได้ชัดเจนขึ้น เป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพและการให้ความร่วมมือกับแพทย์ในการดูแลรักษา ปัญหานี้ต่อไปด้วยกัน

ข้อพึงปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการนอนไม่ หลับ เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ โดยเฉพาะในการนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งอาจจะช่วยทำให้ปัญหาเหล่านี้ค่อย ๆ คลี่คลายลงไปได้ไม่มากก็น้อย พึงระลึกเสมอว่า การรักษาปัญหานอนไม่หลับนั้นต้องใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป เพราะผลการรักษาส่วนใหญ่มักจะไม่เห็นผลแบบทันตาเห็น แต่จะค่อยๆดีขึ้น เป็นอาทิตย์ต่ออาทิตย์
1. ควรตื่นนอนในตอนเช้าให้เป็นเวลาทุกวันสม่ำเสมอ 
2. เข้านอนเมื่อรู้สึกง่วง 
3. ไม่ควรใช้เวลาอยู่บนเตียงนาน ๆ โดยที่ไม่หลับ ไม่ควรนอนค้างอยู่บนเตียงทั้งที่ไม่หลับ ด้วยความคิดที่ว่าอยากจะชดเชยการนอนให้มากที่สุด เพราะการกระทำลักษณะนี้จะยิ่งทำให้คุณภาพการนอนยิ่งแย่ลง และเกิดความไม่ต่อเนื่องของการหลับได้มากขึ้น 
4. พยายามหาเวลาออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพร่างกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจากการศึกษาพบว่า การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในผู้สูงอายุนั้นมีความสัมพันธ์กับคุณภาพของการ นอนหลับที่ดีขึ้น 
5. หลีกเลี่ยงยาหรือสารเคมีบางตัวที่จะมีผลต่อการนอนหบับ เช่น กาแฟ และบุหรี่ เป็นต้น 
6. ถ้าจะมีการงีบหลับในช่วงบ่าย อาจจัดเวลางีบหลับให้เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ควรเกิน 1-2 ชม. และไม่ควรงีบหลับหลัง 15.00 นาฬิกา เพราะอาจมีผลต่อการนอนหลับในคืนนั้น ๆ ได้ 
7. ควรระมัดระวังเรื่องการใช้ยานอนหลับ ไม่ควรใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องด้วยตนเองโดยไม่ ปรึกษาแพทย์ เพราะการใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่งนั้น จะไปมีผลรบกวนต่อการนอนหลับของเราเองได้ 
ลองปฏิบัติดูนะ คงช่วยแก้ไขปัญหาได้ ขอเป็นกำลังใจให้



        วิธีที่ 2

                 
                  กิน แกงขี้เหล็ก เพราะในใบขี้เหล็กมีสารทำให้ง่วง เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษคนไทย นอกนั้นก่อนนอนคิดแต่เรื่องที่ดีๆ สวดมนต์ไหว้พระ สงบสติอารมณ์สักหนึ่งนาที ล้มตัวลงนอนให้เต็มแผ่นหลัง หายใจลึกยาว ผ่อนลมเข้าออกช้าๆ แล้วมันจะดิ่งไปเอง ตื่นมาร่างกายจะพร้อม ที่คิดไม่ออกจะมองเห็นลู่ทางเอง



        วิธีที่ 3

                  ตื่นแต่เช้า
ออกกำลังกายมาก ๆ
ดื่มนม...แล้วไปนอนซะ

แต่จริง ๆ ต้องดูสาเหตุก่อนนะคะ
ว่าเป็นเพราะอะไรเราถึงไม่หลับ...?

มีเรื่องต้องคิิดมากหรือเปล่า? ถ้ามีต้องแก้ตัวนี้ก่อน
ถ้าไม่มีก็ปฏิบัติตามำแนะนำด้านบนเลยค่ะ


        วิธีที่ 4

                
                อาการ นอนหลับยากอาจจะไม่เกิดกับทุกคนแต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะสร้างความลำคาญให้กับ บุคคลนั้นๆ ดังนั้นถ้านอนหลับยากก็ต้องหาที่มาที่ไปและสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไรค่อยแก้ไป ที่ละข้อที่ละจุดแต่ถ้าแก้แล้วไม่ได้ผลก็คงต้องหาวิธีไหม่
อย่างเช่น ออกกำลังกายตอนเย็น กินอาหารให้อิ่มพอดีท้อง ถ้าพูดถึงอาหารมีพืชอยู่ชนิดนึงใช้ประกอบอาหารและมีสรรพคุณช่วยให้นอนหลับ สบายด้วย พืชที่ว่าก็คือยอดขี้เหล็ก ลองเอามาปรุงอาหารดูนะครับกินข้าวอิ่มแล้วนั่งพักให้อาหารย่อยสักครึ่งชั่ง โมงหลังจากนั้นก็เข้านอนพยามทำให้เป็นเวลาทุกวันแค่นี้ปัญหาของคุณก็จะหมดไป อย่างที่เขาว่า นาฬิกาชีวต ต้องเดินตลอดเวลา

       วีธีที่ 5

                 ดื่มนมอุ่น, นับแกะ, นั่งสมาธิ, สวดมนตร์ก่อนนอน, อ่านหนังสือ, ออกกำลังกายหลังเลิกงาน, ฟังเพลงแจ๊สหรือเปิดดนตรีบรรเลงเบา ๆ ฯลฯ หวังว่าวิธีเหล่านี้คงช่วยคุณได้บ้างนะจ๊ะ


       วีธีที่ 6

               ไม่ทราบว่าใครจะมีวิธีการเหมือนผมไหม ผมเป็นคนนอนดึก ทำงานราชการ เคยนอนไม่หลับเหมือนกัน เพราะว่าติดนิสัยนอนดึก และนอนน้อย จากช่วยการเรียน ร่วม 20 กว่าปีมาแล้ว มาได้วิธีการนอนหลับสบาย ไม่เกิดปัญหากับร่างกาย และภาวะจิตใจ เมื่อประมาณ ปี 2537 ตอนนั้นบวชเป็นพระภิกษุ 1 เดือนเศษ สายธรรมยุตครับ ขออนุญาตกล่าวถึงสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัต ผมเป็นหลานศิษย์ เป็นศิษย์พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) เวลานอนจะกำหนดจิตให้เป็นสมาธิ ในการนอน กำหนดเวลาตื่น และ ได้ผลค่อนข้างดีมาก ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย ทำเป็นประจำจนทุกวัน เพราะผมนั้นนอนประมาณ ตี 2-3 ตื่นประมาณ 6 โมงเช้าทุกวันได้แล้วด้วย ผมทำงานหน้าคอมช่วงกลางคืน งานประจำคือกลางวัน นำมาปรับและเขียนรายงานกลางคืน และค้นคว้างาน ดังนั้น ขอแนะนำว่า ให้กำหนดจิตในการนอนทุกวัน รับรองว่า ปลอดโปร่งสบายครับ

การนอน

หัวข้อ : วิธีการดูแลตัวเอง ให้นอนหลับฝันดีตลอดทั้งคืน
โพสเมื่อ : 11 กุมภาพันธ์ 2009 , 10:10:19


1. เริ่มแรก ต้องค้นหาสาเหตุ และกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับก่อน ถ้าเจ็บป่วยด้วยโรคทางกาย หรือโรคทางจิตเวช ก็ต้องรักษาโรคเหล่านั้นให้ดีขึ้น อาจใช้ยาช่วยให้นอนหลับในช่วงเริ่มต้น และใช้ยาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เมื่อความเจ็บป่วยทางร่างกายหรือความเจ็บป่วยทางจิตเวชดีขึ้น อาการนอนไม่หลับก็จะหมดไป และสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น

2. การดื่มน้ำ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 **้วจะช่วยให้ระบบทำงานต่าง ๆ ในร่างกายดีขึ้น แต่ก่อนนอนไม่ควรดื่มมากนะเดี๋ยวจะต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก โดยอาจจะเป็นการดื่มนมอุ่นๆ 1 **้ว หรือ รับประทานกล้วย 1 ผล ก็อาจช่วยให้หลับได้ดีขึ้น

3. ห้องนอน ควรใช้สีอ่อน ๆ ดูสบายตาในการตกแต่ง อย่าง สีโทน Pastel จัดห้องนอนให้เหมาะ**่การนอนหลับ เช่น ไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวหรือเย็นเกินไป ไม่ให้มีเสียงดังอึกทึก ควรมีบรรยากาศที่สงบเงียบ อาจมีเสียงเพลงเบาๆ เป็นต้น
และควรใช้ห้องนอนสำหรับการนอนเท่านั้น ไม่ใช้ห้องนอนทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น รับประทานอาหาร เล่นเกมส์ต่างๆ ร่วมกัน

4. มื้อเย็นที่ควรหลีกเลี่ยง อาหารรสเผ็ดจัด มิฉะนั้นอาจเกิดอาการจุดเสียดปวดท้องและทำให้นอนไม่หลับได้

5. การออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักในตอนเย็น หรือตอนก่อนนอน ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในตอนเช้า สัปดาห์ละ 3-4 วัน วันละ 20-30 นาที จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น และหลับได้ดีขึ้นในตอนกลางคืน
ซึ่งการออกกำลังกายแต่พอเหมาะจะทำให้ดีต่อ สุขภาพและช่วยให้หลับสบาย แต่ทางที่ดีควรทำให้เสร็จก่อนนอนซัก 3 ชั่วโมงนะ ไม่งั้นอาจทำให้ประสาทตื่นตัวและนอนไม่หลับได้

6. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่กระตุ้นสมอง เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลมที่มีสีดำ (เช่น เป๊ปซี่ โคล่า) เครื่องดื่มชูกำลังต่าง ๆ ในตอนบ่าย ตอนเย็น หรือช่วงก่อนนอน
แน่นอนว่าเครื่องดื่มเหล่านี้มีส่วนทำให้นอนไม่หลับ เนื่องจากมีคาเฟ**นอยู่ คนที่นอนไม่ค่อยหลับ ไม่ควรดื่มแต่ถ้าห้ามใจไม่ได้ก็ดื่มแบบไม่มีคาเฟ**นดีกว่านะ

7. วิตามิน ซี ดี บีรวม และแคลเซียมมีผลต่อระบบประสาท ทั้งยังช่วยลดความกระวนกระวายได้

8. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ทั้งสุรา เหล้า เบียร์ ไวน์ อย่างต่อเนื่องทุกวัน เพราะมีสารเคมีที่ออกฤทธิ์ต่อสมองทำให้นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิทได้ในกรณีที่ดื่มติดต่อกันนานๆ ถ้าทำได้อาจช่วยให้ง่วงและนอนหลับได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าดื่มจะส่งผลต่อประสาทและอาจทำให้ฝันร้ายได้นะ

9. จิตใจฟุ้งซ่าน ย่อมทำให้นอนไม่หลับ ลองนั่งสมาธิ หรือทำให้โยคะดูจะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น หรือจะนอนนับ**ะก็ได้นะ

10. หลีกเลี่ยงการดูภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ หรือเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ ที่ตื่นเต้นในช่วงก่อนเข้านอน

11. ถ้าเข้านอนไปแล้วประมาณ 20-30 นาที ยังนอนไม่หลับ ไม่ควรข่มตาให้หลับ ควรจะลุกออกจากเตียงไปทำกิจกรรมเบาๆ ที่ส่งเสริมให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น เช่น อ่านหนังสือผ่อนคลายสมอง อ่านหนังสือบันเทิง ฟังเพลงเย็นๆ อ่านหนังสือธรรมะ ฟังเทปธรรมะ เป็นต้น

12. พยายามตื่นนอนให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน รวมถึงวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดต่างๆ ด้วย วิธีนี้จะช่วยให้วงจรการหลับ-การตื่นของคนเราให้ทำงานได้ดี ไม่เกิดปัญหา

13. ยาช่วยให้นอนหลับ ควรรับประทานเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่ควรใช้ยาต่อเนื่องนานเกิน 2-6 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้ติดยา เกิดภาวะดื้อยา ต้องพึ่งยาตลอดไป อาจทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม หรือความจำถดถอยลงได้

ถ้าอยากนอนหลับสบายทั้งคืน คุณต้องลองสังเกตและลดพฤติกรรมที่เสี่ยงต่ออาการนอนไม่หลับ ถ้าคุณปฏิบัติได้คุณจะมีสุขภาพที่ดีได้ ไม่ยากเลย..... คู่มือสุขภาพดีดียังมี**กมาฝากคุณ**กมากมายติดตามได้ที่นี่ค่ะ www.thaihealth.or.th



SEX เมื่อพร้อม หรือแค่พร้อมมี SEX" . . . คุณคิดอย่างไร ร่วมวิจารณ์ และลุ้นรับของรางวัลมากมาย จาก สสส. ที่นี่ค่ะ



"" target=_blank class=contentlink>http://www.thaihealth.or.th/promote/valentine/



"
>http://www.thaihealth.or.th/promote/valentine/


แหะๆๆๆๆๆๆ...

ลอกเค้ามาอีกที่นะ...

แต่ดูดีนะ..อิอิ...

เรื่องiq

ไฟล์:IQ curve.svg

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
IQ_curve.svg(ไฟล์ SVG, 600 × 480 พิกเซล, ขนาดไฟล์: 12 กิโลไบต์)
Wikimedia Commons logo รูปภาพหรือไฟล์เสียงนี้ ต้นฉบับอยู่ที่ คอมมอนส์ รายละเอียดด้านล่าง เป็นข้อความที่แสดงผลจาก ไฟล์ต้นฉบับในคอมมอนส์
คอมมอนส์เป็นเว็บไซต์ในโครงการสำหรับเก็บรวบรวมสื่อเสรี ที่ คุณสามารถช่วยได้

[แก้ไข] รายละเอียดไฟล์

คำอธิบายภาพ Current IQ tests typically have standard scores such that the mean score is 100 with each standard deviation from the mean counting for 15 IQ points.[1] The plot shows, assuming that such scores have a normal distribution, the percentage of people getting a score versus the score itself, from 55 to 145 IQ, that is over a span of six standard deviations. Spans are represented with different colors for each standard deviation above or below the mean. In order to create it, first I ran the following Octave code:
%standard deviation:
sigma = 15;

%IQ values:
IQ=55.5:144.5;

%Gaussian function:
G=exp(-(IQ-100).^2./(2*sigma^2));
H=exp(-(IQ-100).^2./(2*sigma^2));

%Normalisation in the [0:100] range
G=100*G/sum(G);
H=100*H/sum(H);

%to plot them in different colors
G(1:15)=0;
G(31:45)=0;
G(61:75)=0;

H(16:30)=0;
H(46:60)=0;
H(76:90)=0;

%output to text file:
T=[IQ; G; H];
T = T';
save -ascii 'IQ_curve.dat' T;
Since I wanted a symmetric plot, I shifted the domain by 0.5. It will save the samples in an external file called IQ_curve.dat. In order to get the plot in different colours, the function is split in two different functions, when one is zero the other one is non-null and vice versa. Plotting G and H we will get the effect we want. In order to get the SVG, I used the following Gnuplot code:
set terminal svg
set output "IQ_curve.svg"
set xrange [55.5:144.5]
set key off
set xzeroaxis linetype -1 linewidth 0.5
set yzeroaxis linetype -1 linewidth 0.5
set xtics axis
set ytics axis
plot "IQ_curve.dat" using 1:2 with impulses linewidth 1.5, \
     "IQ_curve.dat" using 1:3 with impulses linewidth 1.5
Then I post-processed the file with Inkscape.
  1. Kaufman, A.S. (2009). IQ Testing 101, 104-109, New York (NY): Springer Publishing.
วันที่สร้างสรรค์ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2549(2006-12-06)
แหล่งที่มา own work

วิธีเพิ่ม IQ ให้กับเด็กไทย...ต้องเลิกกินนมวัว

วิธีเพิ่ม IQ ให้กับเด็กไทย...ต้องเลิกกินนมวัว


วิธีเพิ่ม IQ ให้กับเด็กไทย...ต้องเลิกกินนมวัว 
กระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลว่า เด็กไทยไอคิวต่ำจำนวนมาก
 เด็กช่วงแรกเกิดถึง 5 ขวบมีไอคิว 71.69
เด็กวัยเรียน ไอคิวเฉลี่ย 91 ล่าสุดสำรวจปี 45 พบลดลงอีกเหลือแค่ 88
ขณะที่เด็กวัยรุ่นไอคิวเฉลี่ย 86.72
ชี้เป็นสัญญาณไม่ดีต่อคุณภาพของเด็กไทยในอนาคต
นอกจากนี้ อีคิวก็เริ่มมีแนวโน้มลดลง
เนื่องจากหญิงไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่น้อยลง
รวมทั้งเกิดมาจากสุขภาพของแม่ระหว่างการตั้งท้อง 
เรื่องนี้ผมได้วิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ประมาณ 10 ปีแล้ว
ดีใจ(หรือเสียใจก็ไม่รู้)ที่มีข้อมูลสนับสนุนว่าเป็นความจริง
ผมเคยพูดไว้ตามภาษิตฝรั่งว่า “You are what you eat”
(แปลว่า...เจ้าก็คือสิ่งที่เจ้าแด๊กซ์น่ะแหละ)
ดังนั้น...เมื่อเจ้ากินนมวัว เจ้าก็ต้องโง่เหมือนวัวน่ะแหละ 
ที่คนไทยหันมากินนมวัว เพราะมีผู้นำประเทศโง่เหมือนวัวกระมัง
ที่ส่งเสริมให้คนไทยกินนมวัวกันมากเหลือเกิน
สาเหตุลึกๆมาจากการเห่อฝรั่งนั่นเอง...อยากให้คนไทยตัวใหญ่เหมือนฝรั่ง
โดยใหญ่แล้วดียังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน
เปลืองเสื้อผ้า เปลืองน้ำมันรถ เปลืองบ้าน เปลืองไปหมด
แถมยังอุ้ยอ้าย หนักแผ่นดินมากขึ้น มารบกับญวนตัวผอมๆก็ยังแพ้
เพราะอุ้ยอ้ายหลบกระสุนหลบหลุมขวากไม่ทัน 
นอกจากสมองจะทัดเทียมวัวแล้วร่างกายก็จะใหญ่และแย่อีกด้วย
เพราะไขมันจะสะสมมาก ทำให้เกิดโรคตามมานานาชนิด
ไม่เชื่อขอให้กระทรวงเก็บสถิติคนรุ่นใหม่ไปจนแก่
จะพบโรคที่บรรพชนสมัยก่อนไม่เคยเป็นอีกมากมาย
สรุปคือ การกินนมมากทำให้ สมองโง่ แถมร่างกายอ่อนแอ  
ในขณะที่พวกฝรั่งกลับสำนึกผิด
หันมากินแบบไทยกันเต็มไปหมด คือหันมากินข้าว ผัก ปลา
แต่เรากลับหันไปกินนม ไข่ เนื้อ มันฝรั่งทอด แบบฝรั่ง
สรุปคือพวกฝรั่งฉลาดขึ้นเหมือนเรา แต่เราโง่ลงไปเหมือนฝรั่ง 
ข้อแนะนำของสมาคมแพทย์เด็กของอเมริกาเมื่อสิบปีก่อนคือ
ให้เด็กทารกและเด็กเล็กกินนมพร่องไขมัน (2%) เพียงวันละ 1 แก้วเท่านั้น
แต่ของไทยเราให้อัดนมเสริมมันเนย วันละหลายแก้ว
ทำให้เด็กไทยรับไขมันมากกว่าเด็กอเมริกันหลายสิบเท่า
จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมเด็กไทยจึงเป็นโรคอ้วนมากอย่างน่าตกใจ
เหมือนกับอเมริกาตอนนี้ที่คนจนมักอ้วน ส่วนคนรวยมักผอม
พวกคนผิวดำในสลัมอเมริกาเป็นโรคอ้วนมากที่สุด 
จากสถิติผมเอง เดี๋ยวนี้เด็กบ้านนอกตัวโตกว่าเด็กกรุงเทพมากพอสมควร
เช่นเด็กนศ. ที่มหาลัยในภูมิภาคส่วนใหญ่ตัวโตกว่าผม
ส่วนเด็กในจุฬา ธรรมศาสตร์ เกษตร ยังตัวขนาดผมเป็นส่วนใหญ่
สอดคล้องกับการที่ผมสัมภาษณ์คนบ้านนอกไว้หลายคน
พบว่าส่วนใหญ่ให้ลูกเล็กกินนมวัวมากเหลือเกิน
ระดับ 5 ถึง 7 กล่อง ต่อวัน เป็นนมไขมันเต็มที่เสียด้วย
ผมไม่โทษพวกเขาแต่โทษรัฐบาลเราที่ไม่ฉลาดพอ
โง่ และ เห่อฝรั่งจนตาพองสมองฝ่อกันหมด 
พวกบริษัทฝรั่งที่ทำนมข้ามชาติมันบุกไทยมานานแล้ว
ตั้งแต่สมัยผมจำความได้
พวกเขาทำการตลาดโดยการเอานมผง (เดาว่านมเหลือทิ้ง)
มาแจกให้กระทรวงสาธารณสุขเพื่อเอามาแจกให้คนยากคนจนตามบ้านนอก
เพื่อเอาไว้เลี้ยงลูกแทนนมแม่
คนบ้านนอกก็หลงไหลได้ปลื้มว่าต่อนี้ไปลูกเราจะได้ฉลาดเหมือน(วัว)ฝรั่งเสียที
พากันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลี้ยงลูก
หันมาดื่มนมวัวกันแต่บัดนั้น
โชคดีที่ผมเกิดก่อนยุคนั้นไปหกปีจึงไม่ทันได้กิน
แต่น้องคนสุดท้องโดนไปเต็มเต็ม
ถึงว่า...พี่น้องทุกคนสอบได้ที่หนึ่งของชั้น
 ยกเว้นเจ้าหมอนี่คนเดียว 
แล้วมันเป็นความผิดใครกันแน่
ชาวบ้านโง่หรือรัฐบาลโง่?? 
เรื่องความฉลาดทางอารมณ์ที่ตกต่ำก็อีหรอบเดียวกัน
ผมเองก็พูดไว้นานแล้ว เพราะก็ยังคงเข้าข่ายYou are what you eat
เมื่อคุณกินนมวัวและเนื้อวัวคุณก็ดุร้ายเหมือนวัวน่ะแหละ 
แม่เล่าว่า..สมัยแม่เป็นเด็ก ไม่เคยได้กินเนื้อสัตว์มีเท้า
เพราะคนไทยโบราณกินแต่ผักและปลาเท่านั้น
ไม่มีใครกล้าฆ่าวัว ควาย หมู แม้แต่ไก่ เป็ด
เพราะกลัวบาป จะได้กินเนื้อวัวควายก็ต่อเมื่อมันป่วยหรือแก่ตาย
สังคมไทยเริ่มเปลี่ยนมากินเนื้อมากขึ้นเมื่อแขกเข้ามาเป็นคนฆ่าเนื้อให้
และจีนเข้ามาเป็นคนฆ่าหมูฆ่าไก่ให้กิน
จากนั้นฝรั่งก็เข้ามาเอานมเนยและเนื้อเสต็คมาให้กินกันอีก 
ผมเชื่อว่าการกินเนื้อและผลิตภัณฑ์จากเนื้อมาก
นอกจากกระทบร่างกายแล้ว ยังกระทบจิตใจอีกด้วย
ทำให้เป็นคนโหดร้ายมากขึ้น
ประวัติศาสตร์บันทึกว่าพวกฝรั่งทำสงครามกันโหดเหี้ยมมาก
ทำสงครามกันยาวนานเป็นร้อยปี
เช่น สงคราครูเสดนานสองร้อยปี
สงครามอังกฤษฝรั่งเศสนานสามร้อยปี เป็นต้น
คนตายกันเป็นเบือจนเล่ากันว่า
เลือดไหลนองท่วมน่อง(ในโบสถ์แห่งหนึ่งในกรุงเยรุซาเลม)
ก็ไม่ทำให้สลดใจเลิกรบ...แสดงว่าโหดเหี้ยมมาก
 ส่วนไทยรบพม่า (ที่กินผักปลาเหมือนกัน) รบสามเดือน คนตายสามพันก็เลิกกัน มันต่างกันเหลือประมาณ ถ้าไม่ใช่เพราะอาหารจะเป็นเพราะอะไร
 สังเกตดู จะเห็นว่านับแต่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำพรหมบุตรไป
เป็นพวกกินเนื้อและนมทั้งสิ้น
ตะวันออกของแม่น้ำนี้เป็นพวกกินข้าวผักปลาทั้งสิ้น
สังเกตดูร่างกายของพวกฝั่งตะวันตก คืออินเดีย อิหร่าน กรีก ฝรั่ง อาฟริกา
ตัวจะใหญ่ หนวดเครารุงรัง มีขนดกตามตัว แขน ขา (คล้ายลิง)
ดวงตาดุดัน เบ้าลึก กลมโต (คล้ายเสือ)
ซึ่งตรงข้ามกันคนฝั่งตะวันออก ที่กินข้าวผักปลาผลไม้ เป็นหลัก
มีตัวเล็ก เพราะไม่จำเป็นต้องใหญ่  เนื่องจากไม่นิยมการต่อสู้และความรุนแรง
ลำตัว แขน ขา ไม่มีขนดก ...อาจเพราะวิวัฒนาการเลยลิงไปมากแล้ว
ดวงตาแหลมรี ไม่ค่อยมีแววของความดุดัน
แต่น่าแปลกที่คนฝั่งนี้กลับนิยมลักษณะด้อยของคนฝั่งโน้นมากกว่า
อยากตัวใหญ่ ผู้ชายอยากมีหนวดเครา และไปทำตาสองชั้นกันมาก
แสดงว่าคนฝั่งนี้มีลักษณะด้อยติดมาแต่โบราณ
คือขาดความมั่นใจในศักยภาพและวิวัฒนาการของตนเอง 
 แท้จริงแล้วคนฝั่งโน้น..แม้จะโหดเหี้ยม แต่ลึกๆแล้ว
แฝงไว้ด้วยความขี้ขลาดมากโข
เช่นเวลารบกันต้องสวมเสื้อเกราะหนักอึ้ง...แสดงว่ากลัวตาย
และดาบที่ใช้ก็มีลักษณะยาวแหลม...ใช้แทงจากระยะไกลตัวเป็นหลัก
ส่วนคนฝั่งนี้รบกันโดยไม่ต้องมีเสื้อเกราะ..แสดงว่ามีความกล้ามากกว่า
ดาบที่ใช้เป็นดาบฟันมากกว่าดาบแทง..เป็นการรบแบบใกล้ตัวมากกว่าการแทง
ก็บ่งบอกถึงความกล้าเช่นกัน
ความกล้าหาญและจิตใจยุติธรรมมีถึงกับว่า
ชนเผ่าโบราณดั้งเดิมในอินโดนีเซียรบกัน
ฝ่ายหนึ่งกระสุนหมด (มีปืนใช้แล้ว)
อีกฝ่ายหนึ่งแบ่งกระสุนของตนให้ครึ่งหนึ่ง
เพื่อที่จะรบกันต่อได้อย่างยุติธรรม
เรื่องพวกนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในหมู่พวกกินเนื้อนม 
คนไทยเดี๋ยวนี้โหดเหี้ยมกว่าแต่ก่อนมาก (ในภาพรวม)
เช่น คนส่วนใหญ่สะใจกับการที่ทหารรัฐบาล
รุมล้อมฆ่าเด็กวัยรุ่นมุสลิม 34 คน ที่มัสยิดกรือเซะ (ปัตตานี)
แทนที่จะพากันสลดใจต่อการสูญเสียชีวิต และช่วยกันตำหนิทหารตำรวจ
ที่ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ
การใช้ภาษาพูดของคนไทยก็แสดงให้เห็นแนวโน้มว่ารุนแรงขึ้นทุกที
ที่เห็นชัดๆก็คือพวกนักการเมือง ที่โจมตีกันด้วยภาษาที่โหดเหี้ยมรุนแรง
ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายตรงข้ามบ้างเลย
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากอาหารนั่นเอง
อาหารอาจเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์ได้มาก
พระพุทธเจ้าถึงกับสอนว่าอย่ากินอาหารบางชนิด
เพราะจะทำให้เกิดความกำหนัด เป็นภัยต่อการบำเพ็ญเพียรเพื่อหาทางหลุดพ้น
You are what you eat นั่นแล 
เอาละ โง่ถูกฝรั่งหลอกมานานแล้ว...ก็ยังมีโอกาสแก้ตัว
เพราะยังมีคนไทยที่ถูกเลี้ยงมาด้วยนมแม่ไทยพันธุ์แท้
ที่มีสายพันธุ์ฉลาดล้ำสั่งสมกันมานานคอยให้ปัญญาอีกมากมาย
เพียงแต่ขอให้เชื่อกันบ้างเถอะเวลาคนไทยพูดหรือเขียนอะไรแนะนำกัน
อย่าไปเดินตามเชือกที่ฝรั่งเขาร้อยจมูกไว้เสียจนไม่ฟังเสียงคนไทยกันบ้างเลย 
คนไทยคนนี้ก็พูดเตือนไว้นานแล้วเช่นกันว่า
อย่าไปเชื่อข้อสอบวัดไอคิวที่ฝรั่งมันทำมาให้เราใช้
ถ้าข้อสอบมันโง่(แบบฝรั่ง)มันจะมาวัดความฉลาด(แบบไทย)ได้ยังไง
ตาชั่งมันคนละระบบ...การวัดจะเอามาใช้ร่วมกันได้อย่างไร
คนออกข้อสอบมันก็ออกแบบที่มันคิดว่าอะไรคือความฉลาด
ตามสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมของมัน...ซึ่งไม่เหมือนกับของเรา
และแม้ของเราเอง มันก็มีหลากหลายสิ่งแวดล้อม
รับรองได้ว่าถ้าเอาชาวนาไทยมาออกข้อสอบวัดไอคิว
ข้อสอบต้องถามว่าไถนาอย่างไร ดักแย้ดักหนูอย่างไร
อัลเบิร์ต ไอน์ไสตน์ มาสอบก็ต้องกลายเป็นคนไอคิวต่ำแน่นอน
ที่ว่า..ฉลาด..นั้น มีนิยามอะไรกันแน่
อย่าเพิ่งด่วนสรุป และ เห่อนิยาม ฉลาด ของฝรั่งจนเกินไป
ไม่งั้นจะเสียค่าโง่ซ้ำซาก ไม่รู้จบ
ว่าไปแล้วผมได้เคยลองสอบวัด IQ ดูกะเขาเหมือนกัน ครั้งเดียวในชีวิต (ทาง net) เป็นของบริษัทอะไรก็ลืมไปแล้ว แต่ที่นี่มีคนมาวัดกันแล้ว 32 ล้านคน เขาคุยว่าเขาจบปริญญาเอกมาด้านการวัด IQ เลยทีเดียว ผมไปสอบมาปรากฏว่าได้145 ซึ่งเขาแจ้งมาว่าผมเป็น top scorerของเขาเลยทีเดียว (ว่ากันว่า ไอนสไตน์น่ะ ประมาณ 135 นะ)  อ้อ..จากผลของบริษัทนี้คนอเมริกันทั่วไปมี IQ 110  
เอ้า...ใครอยาก IQ สูงเท่าผม ขอให้เลิกกินนมวัว นะครับ แล้วหันมาคิดให้มากๆ คิดไปทุกเรื่องตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ นะครับ

ดูเเลสมอง

“6 วิธีเพิ่ม IQ ให้สมองฉลาด”

Posted by: vee147 on: 18/05/2009
เอ้าใครอยากฉลาดมาทางนี้วันนี้เรามี 6 วิธีเด็ดๆที่จะช่วยให้สมองของเราพัฒนา IQ ขึ้นไปอีกมาดูกันเลยดีกว่าว่ามีวิธีอันไหนกันบ้าง
1. ช็อกโกแลตช่วยได้graphic0037
ดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ แล้วคุณอาจรู้สึกกระปรี้กระเปร่าราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ลองเปลี่ยนจากกาแฟแก้วเดิมมาเป็นช็อกโกแลตหอมกรุ่น จะช่วยให้สมองมีพลังวังชาขบคิดปัญหาเครียสๆ แบบผู้ใหญ่ได้ดีทีเดียว นักวิจัยมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมพบว่า สารฟลาโวนอยด์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในช็อกโกแลตที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียน เลือดไปเลี้ยงสมองใด้นานถึง 3 ชั่วโมง นพ.เอียน แมคโดนัลด์ หัวหน้าทีมวิจัย เปิดเผยว่าข้อดีของช็อกโกแลตคือ ช่วยฟื้นฟูการทำงานของสมองในช่วงที่การรับรู้ของคนเราจะแย่ลง เช่น ในขณะที่เหนื่อยล้าหรือนอนน้อย ยิ่งถ้าเป็นดาร์คช็อกโกแลตก็จะยิ่งมีฟลาโวนอยด์เข้มข้นขึ้น ลองซดช็อกโกแลตอุ่นๆ สักแก้วก่อนเข้าประชุม 10 โมงเช้ารับรองว่าสมองคุณจะแล่นปรู๊ดปร๊าดเลยเชียวล่ะ
2. ดนตรีกล่อมสมอง
“ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดาลเป็นคนชอบกลนัก” ก็ขนาดคนใช้สมองเยอะๆ อย่างอาจารย์มหาวิทยาลัยหรือนักศึกษาปริญญาเอกยังนิยมฟังเพลงกันเลย ปัญญาชนเหล่านี้บอกว่าฟังเพลงคลาสสิกของบีโทเฟนแล้วทำให้สมองผ่อนคลายได้ ทว่าผลการศึกษาครั้งใหม่กลับพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเพลงคลาสสิกอย่างโมสาร์ตหรือเฮฟวีเมทัลกระแทกหูอย่างวงสอเตอร์ เฮดก็เพิ่มพลังให้สมองได้ทั้งนั้น สถาบัน วอทยาศาสตร์แห่งนิวยอร์กหรือ NYAS (New York Academy of Sciences) พบว่า การฟังดนตรีสุดโปรดไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็ตาม ล้วนส่งผลเชิงบวกต่อการรับรู้ ขณะที่วารสาร Nature รายงานว่า ถ้าให้ผู้เข้าทดสอบฟังเพลง 10 นาทีก่อนทำแบบทดสอบ พวกเขาจะทำคะแนนได้ดีขึ้น เห็นได้ชัดว่าดนครีมีส่วนอย่างมากต่อการเพิ่มระดับไอคิว ทีนี้คุณก็มีข้ออ้างในการควักกระเป๋าลงทุนกับเครื่องเสียงแจ่มๆ ที่ไพเราะเสนาะหูแล้วสิ
3. นั่งให้ปลอดโปร่ง
คุณเคยเป็นแบบนี้บ้างไหม ยิ่งนั่งจมปลักอยู่บนเก้าอี้ทำงานนานๆ สมองยิ่งตีบตันคิดอะไรไม่ค่อยออกเคล็ดลับหนึ่งที่ช่วยให้สมองโปร่งโล่งสบาย คือ การนั่งเก้าอี้แสนสบาย ผลการศึกษาครั้งใหม่ระบุว่า เก้าอี้นั่งที่ไม่ค่อยสบายอาจทำให้ความคิดของคุณโดนปิดกั้นไปด้วย ผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัยลันด์ในสวีเดนระบุว่า คนส่วนใหญ่ต้องเจอปัญหาเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอซึ่งเป็นผลจากการนั่งผิด ท่า การบีบอัดกระดูกสันหลังด้วยการนั่งหลังค่อมขณะใช้แป่นคีย์บอร์ดจะทำให้เส้น เลือดที่ไปเลี้ยงสมองหดตัว ผลคือสมองคุณจะขาดออกซิเจน ดังนั้นการเลือกเก้าอี้ทำงานดีๆ สักตัวที่ช่วยให้คุณนั่งยืดหลังตรงได้ขณะทำงาน จึงสำคัญพอๆ กับงานบนหน้าจอของคุณเลยก็ว่าได้
4. พลังจากเนื้อ
ไม่ว่าคุณจะเป็นมนุษย์ถ้ำหรือมนุษย์ทำงานจอมแกร่งกองทับต้องเดินด้วย ท้องอยู่วันยังค่ำ คุณย่อมไม่มีเรี่ยวแรงพอนัใส่เกียร์ห้าหนีเสือป่าที่จ้องจะขย้ำคอหรือเคาะ ตัวเลขในรายงานการขายให้สวยหรูได้แน่ถ้าท้องคุณร้องโครกครากดังเซ็งแซ่แบบ นี้ การหม่ำเบอร์เกอร์ดีๆ เติมกระเพาะและพลังงานให้สมองย่อมช่วยได้ ซีโมน พาร์กินสัน นักโภชนาการ แนะนำว่า “เนื้อลูกแกะอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อการฟื้นฟูสมองที่อ่อนล้าให้กลับมากระปรี้กระเปร่า และถ้าได้แซมไข่แดงลงไปในเบอร์เกอร์ คุณจะได้โคลีนไปเสริมสร้างการรับรู้ของสมอง ส่วนผักต่างๆ จะช่วยป้องกัยการเกิดภาวะเครียสจากการที่ร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากเกินไป”
5. กินหนึ่งได้ถึงสอง
บางคนที่ไปยิมนอกจากจะเวิร์กเอาต์ให้ได้รูปร่างสมส่วน ยังอาจกินอาหารเสริมควบคู่กันไปเพื่อบำรุงกล้ามเนื้อ สำหรับใครที่เลือกอาหารเสริมเป็นครีเอทีนขอบอกว่าคุณตาแหลมมาก เพราะผลการศึดษาครั้งใหม่พบว่า ครีเอทีนไม่ใช่แค่ดีกับกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อสมองของคุณ เพราะทั้งช่วยเสริมสร้างสมาธิและความสามารถในการประมวลผลข้อมูลและตัวเลข ต่างๆ พญ.แคโรไลน์ เร จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ บอกว่า “อาหารเสริมชนิดนี้เพิ่มพลังให้สมองสามารถรับมือกับงานด้านการคำนวณ ตลอดจนกระบวนการคิดต่างๆ ให้ดีขึ้น” อาหารเสริมในรูปแคปซูลจะมีปริมาณครีเอทีนต่อหน่วยน้ำหนักมากกว่าแหล่งอื่นๆ ดังนั้นพกแคปซูลครีเอทีนติดตัวไปกินตอนเวิร์กเอาต์ช่วงเที่ยงก็เข้าท่าดี เพราะนอกจากจะทำให้สมองปราดเปรื่องแล้วยังทำให้กล้ามคมโตสมใจอีกต่างหาก
6. หลับฟื้นความจำ
นี่คงเป็นข่าวดีสำหรับคนชอบนอน เพราะการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอทำให้คุณฉลาดขึ้น ผลการศึกษาร่วมระหว่างคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย พบว่า การนอนหลับพักผ่อนช่วยกระตุ้นให้คุณดึงความทรงจะในเรื่องที่พึ่งเรียนรู้ไป ไม่นานกลับคืนมาได้ แม้ว่าความทรงจำนั้นจะถูกแทนที่ด้วยข้อมูลใหม่ๆ ไปแล้วหลายชั่วโมงก็ตาม นพ.เจฟฟรีย์ เอลเลนโบเกน หัวหน้สทีมวิจัย บอกว่า “นี่แสดงให้เห็นว่า การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงช่วยปกป้องความจำแต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเก็บรวบ รวมความทรงจำเข้าด้วยกันอีกด้วยครับ” พูดง่ายๆ คือ ความทรงจำในสมองไม่แตกแถวนั่นเอง นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า หมอนก็มีผลต่อการนอนเช่นกัน เพราะหมอนที่รองรับสรีระร่างกายในขณะที่หลับได้ดี จะช่วยลดปัญหาการหายใจซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการหลับที่ต่อเนื่องยาวนาน ใครที่อยากนอนหลับสนิทและตื่นขึ้นมารับวันใหม่ด้วยความสดชื่นสมองแจ่มใส เห็นทีต้องลองใช้หมอนเมโมรีโฟม (Memory Foam) ซึ่งทำจากวัสดุเมโมรีโฟมที่ผ่านกระบวนย่อยเป็นปุยๆ ชิ้นเล็กๆ เสมือนเส้นใยไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติอ่อนนุ่มและแน่น

วิธีการเพิ่มiq

1. เล่นเกมบ้าง อันนี้ คงเข้าทางใครหลายๆ คน เพราะเค้าวิจัยกันมาแล้วว่า การเล่นเกมช่วยในการฝึกสมองได้ ~~~ ไม่ว่า จะเป็นเกมอะไรก็ตาม ไม่ต้องเป็นเกมสามมิติอลังการ ก็ได้ แค่เกมเล็กๆ อาเคด แคชช่วล ก็สามารถพัฒนาสมองได้











2. ลองคิดเป็นภาพ ฝึกคิดหรือว่าจำให้เป็นรูปภาพ จะช่วยให่สมองทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น อันนี้เข้าตำราของคุณหนูดี ที่บอกว่า สมองชอบจำเป็นภาพมากกว่าตัวหนังสือ แสดงว่า ทฤษฎีนี้ ตรงกัน











3. เล่นครอสเวิร์ด เกมครอสเวิร์ด หลายๆ คนคงจะรู้จักดี เค้าวิจัยกันมาว่า การเล่นเกมประเภทนี้ ช่วยให้สมองสร้างกิ่งก้านสาขาได้มากขึ้น ซึ่งมีผลให้ช่วยในเรื่องของการคิดและการจดจำข้อมูลได้ดีขึ้น ถ้าจะเล่นแบบไทยๆ หน่อย ก็เล่นอักษรไขว้ก็ได้ ~~











4. เลือกกลิ่นช่วยสมอง กลิ่นมะนาวช่วยให้เรามีสมาธิ กลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยให้ผ่อนคลายและสมองแจ่มใส กลิ่นมะลิช่วยกระตุ้นสมองให้คิดได้เร็วขึ้น











5. เลือกดูรายการทีวีดีๆ (ซะบ้าง 55+) อย่างเช่น พวกรายการเกมโชว์ตอบปัญหาทั้งหลาย หรือสารคดีดีๆ การเลือกดูรายการพวกนี้ ทำให้เราซึมซับความรู้โดยไม่รู้ตัว แถมยังช่วยเพิ่ม IQ อีกด้วย ผลวิจัยจาก อังกฤษ บอกว่า หากเลือกดูรายการ Weakest Link (กำจัดจุดอ่อน) แค่ 30 นาที สามารถเพิ่ม IQ ได้ถึง 6 แต้ม ถ้าเป็นรายการสารคดีเพิ่มขึ้น 4 แต้ม แต่ละครซิตคอมอย่าง Friends นั้น เพิ่ม IQ แค่แต้มเดียว











6. หายใจเข้าลึกๆ อันนี้คงจะรู้กันมานาน...มากแล้ว ด้วยเหตุผลที่อธิบายทางการแพทย์ได้ง่าย เพราะว่าการหายใจเข้าลึกๆ ช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย รวมถึงสมองได้อย่างเพียงพอ มีเทคนิคการหายใจนิดนึง เค้าบอกกันว่า กายหายใจทางจมูก จะได้อากาศมากกว่าหายใจทางปาก











7. ฝันกลางวัน อันนี้ เจ้านายคงจะไม่ชอบกัน - - ถ้าเห้นพนักงานตัวเอง มานั่งเหม่อลอยตอนบ่ายๆ ไม่ยอมทำงาน -*- แต่คุณอาจจะไม่รู้ว่า พนักงานคนนั้น กำลังจะสร้างไอเดียใหม่ให้ธุรกิจของคุณได้ (-_-") ที่จริงข้อนี่เค้าหมายถึงว่า ให้้ลองปลดปล่อยสมองคิดเรื่องอื่น ๆ หรือว่าฟุ้งซ่้าน -*- ดูบ้าง วันละ 10 นาที ไอเดียดีๆ อาจจะมาโดยไม่รู้ตัว











8. ลดคาเฟอีนและนิโคติน คาเฟอีนอยู่ในกาแฟ นิโคตินอยู่ในบุหรี่ นักวิจัยในอเมริกาพบว่า คาเฟอีนและนิโคตินช่วยยับยั้งการดูดซึมวิตามินที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมอง











9. หัดแยกประสาทสมอง โดยการทำ 2 อย่าง พร้อมๆ กัน เช่น ดูทีวี+อ่านหนังสือ+ฟังวิทยุ ไปพร้อมกัน หากทำบ่อยๆ จนเชี่ยวชาญ หลังจากนี้ คุณก็จะพบว่าตัวเองสามารถแยกประสาทได้อย่างเหลือเชื่อ หรือคุณอาจจะไม่ได้อะไรเลย











10. อกตั้ง หลังตรง ช่วยสมองได้ เชื่อหรือไม่ ลักษณการนั่งของเรามีผลต่อการคิดของสมองด้วย











11. ลองมั่ว อาจะได้ดี เค้าแนะนำว่า ให้ลองคิดอะไรสองอย่างที่ไม่เกี่ยวกันเลย แล้วลองคิดโยงสิ่งต่างๆ ระหว่าง 2อย่างนี้ ที่มันน่าจะเกี่ยวข้องกัน การหัดคิดแบบนี้ ช่วยให้เวลาต้องการไอเดียต่างๆ มันจะคิดแตกแขนงออกมาได้ดีขึ้น











12. ผ่อนคลายเข้าไว้ เวลาคิดอะไรไม่ออก ลองผ่อนคลายตัวเองดู ทั้งสมองและร่างกาย พยายามทำให้ตัวเองผ่อนคลายให้มากที่สุด สัก 30 นาที











13. ทำไมด์แม็พแบบง่ายๆ วิธีก็คือ ตั้งโจนย์ปัญหาไว้ในวงกลมกลางกระดาษ แล้วขีดเส้นตรงออกมาทุกทิศทาง โดยที่ทุกปลายของเส้นตรงคือชื่อ สิ่งของ คำ หรือไอเดียต่างๆ ที่มาจา่กปัญหากลางกระดาษ วิธีนี้ จะช่วยให้สมองเห็นภาพของปัญหาที่ต้องการจะแก้ไขได้ดียิ่งขึ้น











14. เริ่มเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เช่นหัดเรียนภาษา ดนตรี หรือง่ายๆ เช่น ถ้าคุณไม่เคยวาดภาพ ว่างก็ลองเอาดินสอกับกระดาษมาวาดเล่นๆ หรือเอาสีเมจิกมาระบายเล่นๆ ดู วิธีนี้ช่วยให้สมองสร้างการเรียนรู้ใหม่ๆ และ ช่วยเปลี่ยนวิธีคิดในการทำงานในอีกมุมมองนึง











15. ออกกำลังกาย การออกกำลังกาย ไม่ได้มีผลแค่ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สมองหลั่งสารความฉลาด (Fluid intelligence) ที่ช่วยให้เราเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ดีขึ้น, สร้างกลีบสมองด้านหน้าที่ช่วยในการวางแผน, และช่วยให้การตัดสินใจได้เร็วขึ้น แค่สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีก็พอครับ